ท้องผูก หมายถึง อาการถ่ายอุจจาระลำบาก ซึ่งมักร่วมด้วยการมีอุจจาระแข็ง กากอาหารที่เคลื่อนมาถึง
ลำไส้ใหญ่ใหม่ๆ จะยังค่อนข้างเหลวและมีน้ำอยู่มาก สำไส้ใหญ่จะดูดน้ำและสารบางอย่างกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อุจจาระแห้งขึ้นและเป็นรูปร่างหรือเป็นก้อนมากขึ้น ถ้าอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้นานๆ หรือร่างกายมีภาวะขาดน้ำ น้ำในลำไส้ใหญ่จะถูกดูดกลับมากขึ้น ทำให้อุจจาระแข็งยิ่งขึ้น
อาการท้องผูกอาจเกิดได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น อุปนิสัยในการถ่ายอุจจาระ การขาดการ เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย (เช่น ผู้ที่นั่งทำงานอยู่กับที่ทั้งวัน ผู้ป่วยที่นอนอยู่กับเตียงเป็นเวลานานๆ) รับประทานอาหารหรือยาบางอย่างที่ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ขาดฮอร์โมนบางอย่าง (เช่น ฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์) ภาวะขาดน้ำ เป็นต้น
ประเด็นสำคัญ
พบว่ามีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับอาการท้องผูกมาก กล่าวคือ ส่วนใหญ่ฝังใจการการเรียนว่า ควรถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกวัน แต่ความจริงมีว่า ท้องผูกคืออาการที่อุจจาระแห้ง แข็ง ถ่ายลำบาก การใช้ยาถ่าย ยาระบายมากเกินไป ทำให้เกิดการติดเป็นนิสัยได้ มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุของท้องผูกได้เช่นกัน เพราะก้อนเนื้อโตขวางทางไว้ การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารเป็นประจำ มีผลดีต่อการทำงานของลำไส้ใหญ่ แก้ปัญหาท้องผูกได้ดีมาก
ท้องผูกคืออะไร ?
ท้องผูกคือสภาพที่การถ่ายอุจจาระเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากอุจจาระอยู่ในสภาพที่แห้ง แข็งเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเหมือนขี้แพะจะเห็นว่า ความสำคัญอยู่ที่สภาพของอุจจาระมากกว่าที่จะเป็นความถี่ในการอุจจาระ คนมักจะเข้าใจว่า คนเราควรถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกวัน ซึ่งความจริงไม่จำเป็น ตราบใดที่การถ่ายอุจจาระแต่ละครั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สร้างความทรมาน เจ็บปวดแก่ผู้นั้น
สาเหตุของท้องผูก
- การอั้นอุจจาระเป็นประจำ ทำให้นิสัยการถ่ายเสียไป เพราะตามปกติ เมื่อมีอุจจาระไปรอที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย จะมีกระแสประสาทกระตุ้นเตือนให้เกิดการถ่าย แต่ถ้าอั้นไว้บ่อยๆ ระบบนี้ก็จะเสียไป ทำให้อุจจาระสะสมในลำไส้ใหญ่นานเกินไป น้ำในอุจจาระจะถูกดูดกลับมากเกินไป ทำให้อุจจาระแห้งแข็ง
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป
- การใช้ชีวิตแบบเฉยๆ เฉื่อยๆ นั่งๆนอนๆ ขาดการออกกำลังกาย หรือผู้ป่วยที่ต้องนอนพักบนเตียงติดต่อกันนานๆ
- รับประทานน้ำน้อยเกินไปในแต่ละวัน
- ความเครียด ข้อนี้ค่อนข้างแปลก เนื่องจากในบางคนความเครียดทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน
- ยาบางชนิด ได้แก่
ยาแก้ปวดผสมโคเดอีนหรือฝิ่น
ยาแก้โรคซึมเศร้า เช่น Amitriptylene, Fluoxetine, Imipramine
ยาแก้ชัก เช่น Phenytoin, Carbamazepine
ยาบำรุงเลือด ประเภทธาตุเหล็ก
ยารักษาโรคหัวใจ เช่น Diltiazem, Nifedipine
ยาลดกรดที่มีเกลืออลูมิเนียม
การใช้ยาระบายประเภทที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่เป็นประจำ จนกระทั่งเกิดการติดยา ไม่สามารถหยุดยาได้ มีแต่จะต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อยๆ
- โรคภัยไข้เจ็บบางชนิด เช่น Diverticulosis, Irritable Bowel Syndrome, มะเร็งลำไส้ใหญ่,โรคของต่อมธัยรอยด์
การรักษาอาการท้องผูก
ควรพิจารณาจากสาเหตุข้างบน และแก้ไข โดยมีแนวทางดังนี้
ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากๆ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาท้องผูกแล้ว ยังมีผลดีต่อการลด โอกาสการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง ด้วย กรณีที่ไม่สามารถทานได้ ก็ควรเสริมด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทเส้นใยอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำดื่มน้ำให้เพียงพอ ฝึกการถ่ายให้เป็นนิสัย ไม่อั้น ถ้ามีสัญญาณการถ่ายควรรีบถ่ายอุจจาระทันที เมื่อถึงเวลาถ่ายอุจจาระ ไม่ควรอ่านหนังสือ หรือทำอะไรอย่างอื่นๆ จัดท่านั่งถ่ายให้ถูกต้อง คือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้นเปลี่ยนทัศนคติเรื่อง “การถ่ายอุจจาระทุกวัน” เพราะท้องผูกขึ้นกับสภาพอุจจาระไม่ใช่ความถีพิจารณาใช้ยาระบายที่เหมาะสม โดยถือเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าจำเป็นต้องใช้ ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
การรักษาอาการท้องผูกให้หายขาด คงต้องพิจารณาหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุดเป็นกรณีๆ ไปการรักษาเฉพาะหน้าอาจทำได้โดย เพิ่มอาหารที่มีกากหรือเส้นใยมากขึ้น หรือ รับประทานยาระบาย หรือ
สวนอุจจาระหรือเหน็บยาระบายทางทวารหนัก ไม่ควรรับประทานยาระบายบ่อยๆ เพราะจะทำให้ลำไส้เคยชินต่อยากระตุ้นได้ง่าย ทำให้ต้องรับประทานเป็นประจำและอาจต้องเพิ่มขนาดของยา ถ้าจำเป็นควรใช้การสวนหรือยาเหน็บทางทวารหนักจะดีกว่า
ผักและผลไม้ที่มีกากใยอาหารมากและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ พรุน ส้ม มะละกอ ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักโขม ข้าวกล้อง ฯลฯ โดยเฉพาะพรุนนั้น เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์มากเป็นพิเศษ และยังเป็นไฟเบอร์ชนิดละลาย น้ำได้ ทางการแพทย์จึงนิยมใช้พรุน ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายตามธรรมชาติแก้ไขอาการท้องผูก
นอกจากนี้ พรุนยังเป็นผลไม้ที่ให้ผลทางด้านโภชนาบำบัด สำหรับคนที่มีปัญหาทางระบบขับถ่ายริดสีดวงทวารและโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้โป่งพองได้เป็นอย่างดี การรับประทานลูกพรุนนั้น ไม่ว่าจะรับประทานเป็นพรุนสด หรือพรุนสกัดเข้มข้นก็มีส่วนช่วย ให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติได้ แต่แพทย์ไม่แนะนำให้รับประทานพรุนแห้ง เนื่องจากในพรุนแห้ง จะมีส่วนผสมของน้ำตาลค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าบริโภคมากอาจทำให้เกิด โรคอ้วนตามมาได้
ส่วนข้อดีของการรับประทานพรุน นอกจากจะช่วยในเรื่องระบบการขับถ่ายแล้ว คุณแม่ยังจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด ซึ่งสามารถช่วยป้องกัน และแก้ไขอาการของโรคอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขจัดสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ ให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้นช่วยป้องกันโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้พรุนยังมีธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในคุณแม่หลังคลอดด้วย
นอกเหนือจากจะเพิ่มการรับประทานอาหาร ที่มีกากใยอาหาร ให้มากขึ้นแล้ว ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้กากใยอาหารที่ได้รับเข้าไปทำงานได้ดีขึ้น ควบคู่กับ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่ลำไส้จะได้มีการเคลื่อนไหว และสามารถขับเอากากอาหารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือ ต้องพยายามฝึกตนเองให้ขับถ่ายเป็นเวลา จะเป็นช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ เพื่อที่ลำไส้จะได้เกิดความเคยชินกับการขับถ่ายเป็นเวลา
การป้องกันอาการท้องผูก
- ฝึกถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้
- รับประทานอาหารที่มีกากหรือเส้นใย เช่น ผัก ผลไม้ มากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อบริเวณท้อง
- การไม่ถ่ายอุจจาระเพราะไม่มีกากอาหาร เนื่องจากรับประทานอาหารไม่ได้ หรือ รับประทานอาหารที่ไม่มีกากไม่เรียกว่าท้องผูก
ขอบคุณ: www.thailabonline.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น